ผู้ติดตาม

ค้นหาบล็อกนี้

โพสต์แนะนำ

ประกันชีวิต

ความหมายของการประกันชีวิต สมาคมประกันชีวิตไทยได้สรุปคำจำกัดความว่า การประกันชีวิต คือ การชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากความ...

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Object Oriented Programming (OOP)

โดยหลักการคือ มองสิ่งต่างๆในโปรแกรมเป็นวัตถุ และยังสามารถนำวัตถุดังกล่าวไปใช้ได้ที่โปรแกรมอื่น ที่การทำงานเหมือนกัน ทำให้ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
โดยการสร้างวัตถุนั้น เราจะต้องมีต้นแบบของวัตถุนั่นเสียก่อน โดยที่ ต้นแบบเราจะเรียกว่า คลาส (class) โดยคลาสนั้น เราไม่สามารถนำมาใช้งานได้โดยตรง แต่ต้อง ใช้คลาส สร้าง object ออกมาก่อน ยกตัวอย่าง
ถ้าเปรียบเทียบ class เป็นแม่พิมพ์คุกกี้ แล้ว object คือ คุกกี้ ที่แม่พิมพ์ พิมพ์ออกมา
ดังนั้น คงไม่มีใครไปกินแม่พิมพ์ใช่ไหม แต่คุกกี้กินได้ อร่อยมากด้วย
OOP ก็เช่นกัน เราต้องใช้ class แล้ว ปั๊มออกมา เป็น object ก่อน แล้วจึงนำ object ไปใช้งานโดยออปเจกต์ต่างๆ จะมี property และ method
property คือ คุณสมบัติของมัน และ method คือสิ่งที่มันทำได้
*property
คลาสของ มนุษย์ มี property คือ มี แขน ขา ลำตัว หัว นี่คือคุณสมบัติ object ทุกอันที่เกิดจากคลาส มนุษย์ ต้องมี
*Method
คลาสของ มนุษย์ สามารถทำกิริยาต่อไปนี้ เดิน วิ่ง กิน พูด มอง
การเขียนโปรแกรม แบบ OOP สามารถเรียง

1.ประกาศสร้าง คลาส
2.นำคลาส มาปั๊ม เป็น object
3.นำออบเจกต์ไปใช้งาน
ข้อดีอีกข้อของ OOP คือ คลาสต่างๆ เราไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่า คลาสนั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
เพียงแค่รู้ว่า เมื่อนำคลาสนั้นมาสร้าง object แล้วใช้งาน method ของมัน จะเกิดอะไรขึ้น
ข้อดีนี้มีดีอย่างน้อยก็ 2 ข้อ
1.เมื่อเขียนโปรแกรมต่อจากคนอื่น มันเขียนคลาสมา เราก็ไม่ต้องไปดูโค้ดว่า มันทำงานอย่างไร แค่รู้ว่า มันมีเมธอด ทำแล้ว เกิด output อะไรออกมา
2.เราไม่ต้องเขียนคลาสเอง เราอาจจะไปดาวน์โหลดคลาสฟรี จากเน็ต แล้วไม่ต้องเข้าใจเลยว่าคลาสมันทำงานยังไง เพียงแค่รู้ว่า ใช้เมธอดแล้ว เกิด output อะไรออกมา ก็สามารถนำคลาสของคนอื่นมาใช้งานได้ทันทีเป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น: