วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552
คุณสมบัติของ OOP
คุณสมบัติที่สำคัญที่ต้องรู้ เพื่อที่จะเขียนโปรแกรมแบบ OOP มี 3 ประการดัง
1. Encapsulation เป็นคุณสมบัติที่ว่า เราไม่จำเป็นต้องสนใจรายละเอียด ที่ไม่สมควรจะสนใจ เช่น เราเขียนโปรแกรมที่มีการใช้ Button เราก็ไม่ต้องไปสนใจ ถึงนั้น ตอนการสร้าง Button ขึ้นมา หรือแม่กระทั่งขั้นตอนการใส่ชื่อ ให้กับ Button ว่ามีขั้นตอนการใส่อย่างไร พูดง่าย อย่าไปสนใจมันเลย เราเพียงแค่กำหนดคุณสมบัติให้มันก็เพียงพอแล้ว และใช้งานตามความสามารถทีมีเท่านั้น
2. Inheritance เป็นคุณสมบัตที่ว่า Class ต้องสามารถสืบทอด ได้เช่นเดียวกับภาษาโปรแกรม ที่กำหนด เป็น Component ทั้งที่ มองเห็นและมองไม่เห็น ก็ต้องสืบทอดได้ โดย ดีไรฟว์คลาส ก็คือ Class ที่ถูกสืบทอดมา นั้น สามารถเพิ่มเติม Poperty หรือ Method เดิมได้ตามความเหมาะสม
3. Polymorphism เป็นคุณสมบัติที่ว่า สามารถเปลี่ยนแปลงความสามารถ ของ Class ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราสร้าง Class ที่ชื่อว่า Shape ซึ่งจะใช้สร้าง Object เป็นรูปทรงต่างๆ เช่น วงกลม, สามเหลี่ยม และ สี่เหลี่ยม เป็นต้น แล้วเราก็มี Method Area เพื่อหาพื้นที่ของรูปทรงต่างๆ แน่นอนว่า Method Area ของการเรียกใช้งานแต่ละครั้ง ต้องคำนึงด้วยว่า เราระบุ Poperty ของรูปทรงว่าเป็นรูปทรงอะไร ซึ่งจะทำให้เรามีวิธีการคำนวนหา ที่แตกต่างกัน
การสร้าง Object หนึ่งๆ ขึ้นมาจาก Class ในภาษาการเขียนโปรแกรม จะกล่าวได้ว่าเป็น Object หรือ Instance ของ Class ตัวอย่างเช่น ในการสร้าง Application กับ Delphiเมื่อเรานำ Component มาวางลงบน Form เช่น นำ Edit Boxลงมาวางใน Form จะเห็นว่าใน Code Editor นั้น Delphiได้เขียน Code เพื่อแสดงว่า ได้สร้าง Object Edit ขึ้นมาจาก Class Tedit
คุณสมบัติที่สำคัญที่ต้องรู้ เพื่อที่จะเขียนโปรแกรมแบบ OOP มี 3 ประการดัง
1. Encapsulation เป็นคุณสมบัติที่ว่า เราไม่จำเป็นต้องสนใจรายละเอียด ที่ไม่สมควรจะสนใจ เช่น เราเขียนโปรแกรมที่มีการใช้ Button เราก็ไม่ต้องไปสนใจ ถึงนั้น ตอนการสร้าง Button ขึ้นมา หรือแม่กระทั่งขั้นตอนการใส่ชื่อ ให้กับ Button ว่ามีขั้นตอนการใส่อย่างไร พูดง่าย อย่าไปสนใจมันเลย เราเพียงแค่กำหนดคุณสมบัติให้มันก็เพียงพอแล้ว และใช้งานตามความสามารถทีมีเท่านั้น
2. Inheritance เป็นคุณสมบัตที่ว่า Class ต้องสามารถสืบทอด ได้เช่นเดียวกับภาษาโปรแกรม ที่กำหนด เป็น Component ทั้งที่ มองเห็นและมองไม่เห็น ก็ต้องสืบทอดได้ โดย ดีไรฟว์คลาส ก็คือ Class ที่ถูกสืบทอดมา นั้น สามารถเพิ่มเติม Poperty หรือ Method เดิมได้ตามความเหมาะสม
3. Polymorphism เป็นคุณสมบัติที่ว่า สามารถเปลี่ยนแปลงความสามารถ ของ Class ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราสร้าง Class ที่ชื่อว่า Shape ซึ่งจะใช้สร้าง Object เป็นรูปทรงต่างๆ เช่น วงกลม, สามเหลี่ยม และ สี่เหลี่ยม เป็นต้น แล้วเราก็มี Method Area เพื่อหาพื้นที่ของรูปทรงต่างๆ แน่นอนว่า Method Area ของการเรียกใช้งานแต่ละครั้ง ต้องคำนึงด้วยว่า เราระบุ Poperty ของรูปทรงว่าเป็นรูปทรงอะไร ซึ่งจะทำให้เรามีวิธีการคำนวนหา ที่แตกต่างกัน
การสร้าง Object หนึ่งๆ ขึ้นมาจาก Class ในภาษาการเขียนโปรแกรม จะกล่าวได้ว่าเป็น Object หรือ Instance ของ Class ตัวอย่างเช่น ในการสร้าง Application กับ Delphiเมื่อเรานำ Component มาวางลงบน Form เช่น นำ Edit Boxลงมาวางใน Form จะเห็นว่าใน Code Editor นั้น Delphiได้เขียน Code เพื่อแสดงว่า ได้สร้าง Object Edit ขึ้นมาจาก Class Tedit
Object Oriented Programming (OOP)
โดยหลักการคือ มองสิ่งต่างๆในโปรแกรมเป็นวัตถุ และยังสามารถนำวัตถุดังกล่าวไปใช้ได้ที่โปรแกรมอื่น ที่การทำงานเหมือนกัน ทำให้ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
โดยการสร้างวัตถุนั้น เราจะต้องมีต้นแบบของวัตถุนั่นเสียก่อน โดยที่ ต้นแบบเราจะเรียกว่า คลาส (class) โดยคลาสนั้น เราไม่สามารถนำมาใช้งานได้โดยตรง แต่ต้อง ใช้คลาส สร้าง object ออกมาก่อน ยกตัวอย่าง
ถ้าเปรียบเทียบ class เป็นแม่พิมพ์คุกกี้ แล้ว object คือ คุกกี้ ที่แม่พิมพ์ พิมพ์ออกมา
ดังนั้น คงไม่มีใครไปกินแม่พิมพ์ใช่ไหม แต่คุกกี้กินได้ อร่อยมากด้วย
OOP ก็เช่นกัน เราต้องใช้ class แล้ว ปั๊มออกมา เป็น object ก่อน แล้วจึงนำ object ไปใช้งานโดยออปเจกต์ต่างๆ จะมี property และ method
property คือ คุณสมบัติของมัน และ method คือสิ่งที่มันทำได้
*property
คลาสของ มนุษย์ มี property คือ มี แขน ขา ลำตัว หัว นี่คือคุณสมบัติ object ทุกอันที่เกิดจากคลาส มนุษย์ ต้องมี
*Method
คลาสของ มนุษย์ สามารถทำกิริยาต่อไปนี้ เดิน วิ่ง กิน พูด มอง
การเขียนโปรแกรม แบบ OOP สามารถเรียง
1.ประกาศสร้าง คลาส
2.นำคลาส มาปั๊ม เป็น object
3.นำออบเจกต์ไปใช้งาน
ข้อดีอีกข้อของ OOP คือ คลาสต่างๆ เราไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่า คลาสนั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
เพียงแค่รู้ว่า เมื่อนำคลาสนั้นมาสร้าง object แล้วใช้งาน method ของมัน จะเกิดอะไรขึ้น
ข้อดีนี้มีดีอย่างน้อยก็ 2 ข้อ
1.เมื่อเขียนโปรแกรมต่อจากคนอื่น มันเขียนคลาสมา เราก็ไม่ต้องไปดูโค้ดว่า มันทำงานอย่างไร แค่รู้ว่า มันมีเมธอด ทำแล้ว เกิด output อะไรออกมา
2.เราไม่ต้องเขียนคลาสเอง เราอาจจะไปดาวน์โหลดคลาสฟรี จากเน็ต แล้วไม่ต้องเข้าใจเลยว่าคลาสมันทำงานยังไง เพียงแค่รู้ว่า ใช้เมธอดแล้ว เกิด output อะไรออกมา ก็สามารถนำคลาสของคนอื่นมาใช้งานได้ทันทีเป็นต้น
โดยหลักการคือ มองสิ่งต่างๆในโปรแกรมเป็นวัตถุ และยังสามารถนำวัตถุดังกล่าวไปใช้ได้ที่โปรแกรมอื่น ที่การทำงานเหมือนกัน ทำให้ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
โดยการสร้างวัตถุนั้น เราจะต้องมีต้นแบบของวัตถุนั่นเสียก่อน โดยที่ ต้นแบบเราจะเรียกว่า คลาส (class) โดยคลาสนั้น เราไม่สามารถนำมาใช้งานได้โดยตรง แต่ต้อง ใช้คลาส สร้าง object ออกมาก่อน ยกตัวอย่าง
ถ้าเปรียบเทียบ class เป็นแม่พิมพ์คุกกี้ แล้ว object คือ คุกกี้ ที่แม่พิมพ์ พิมพ์ออกมา
ดังนั้น คงไม่มีใครไปกินแม่พิมพ์ใช่ไหม แต่คุกกี้กินได้ อร่อยมากด้วย
OOP ก็เช่นกัน เราต้องใช้ class แล้ว ปั๊มออกมา เป็น object ก่อน แล้วจึงนำ object ไปใช้งานโดยออปเจกต์ต่างๆ จะมี property และ method
property คือ คุณสมบัติของมัน และ method คือสิ่งที่มันทำได้
*property
คลาสของ มนุษย์ มี property คือ มี แขน ขา ลำตัว หัว นี่คือคุณสมบัติ object ทุกอันที่เกิดจากคลาส มนุษย์ ต้องมี
*Method
คลาสของ มนุษย์ สามารถทำกิริยาต่อไปนี้ เดิน วิ่ง กิน พูด มอง
การเขียนโปรแกรม แบบ OOP สามารถเรียง
1.ประกาศสร้าง คลาส
2.นำคลาส มาปั๊ม เป็น object
3.นำออบเจกต์ไปใช้งาน
ข้อดีอีกข้อของ OOP คือ คลาสต่างๆ เราไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่า คลาสนั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
เพียงแค่รู้ว่า เมื่อนำคลาสนั้นมาสร้าง object แล้วใช้งาน method ของมัน จะเกิดอะไรขึ้น
ข้อดีนี้มีดีอย่างน้อยก็ 2 ข้อ
1.เมื่อเขียนโปรแกรมต่อจากคนอื่น มันเขียนคลาสมา เราก็ไม่ต้องไปดูโค้ดว่า มันทำงานอย่างไร แค่รู้ว่า มันมีเมธอด ทำแล้ว เกิด output อะไรออกมา
2.เราไม่ต้องเขียนคลาสเอง เราอาจจะไปดาวน์โหลดคลาสฟรี จากเน็ต แล้วไม่ต้องเข้าใจเลยว่าคลาสมันทำงานยังไง เพียงแค่รู้ว่า ใช้เมธอดแล้ว เกิด output อะไรออกมา ก็สามารถนำคลาสของคนอื่นมาใช้งานได้ทันทีเป็นต้น
วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน นับแต่การล่มสลายของราชอาณาจักรขอม-จักรวรรดินครวัต นครธม เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 และมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรโบราณหลายแห่ง เช่น อาณาจักรทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้ เขมร ฯลฯ ประวัติศาสตร์ไทยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างใน พ.ศ.1781 ตรงกับสมัยอาณาจักรสุโขทัย และสมัยอาณาจักรล้านนาแห่งภาคเหนือ กระทั่งอาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลงในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ความรุ่งเรืองจึงปรากฏในอาณาจักรทางใต้คือกรุงศรีอยุธยาแทน ครั้นเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สองในพ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรีอย่างไรก็ดี ในช่วงดังกล่าวประเทศไทยมีอาณาเขตไม่แน่ชัด ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เมื่อพ.ศ.2325 อาณาจักรสยามเริ่มมีความเป็นปึกแผ่นโดยได้มีการผนวกดินแดนบางส่วนของอาณาจักรล้านช้างเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ครั้นในรัชกาลที่5 จึงได้มีการผนวกเอาเมืองเชียงใหม่หรืออาณาจักรล้านนา อันเป็นการผนวกดินแดนครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแต่ก็ต้องรออีกถึงสี่สิบเอ็ดปีจึงจะได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2516 ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นมีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยอีกสองครั้งคือ เหตุการณ์ 6 ตุลา และ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ล่าสุดได้เกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นการยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการ หลังจากได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)